วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

บทความแผลร้อนใน

เป็นแผลเล็กๆพบมากที่ริมฝีปากด้านในหรือกระพุ้งแก้มหรือบริเวณลิ้นแผลจะเริ่มจากตุ่มเล็กๆแล้วกลายเป็นวงและมีขนาดใหญ่ขึ้น ตรงกลางจะมีเยื่อสีขาวบางๆขอบจะบวมแดงและมีอาการปวด ขนาดอาจจะมีขนาดเล็กจนถึงเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งนิ้ว บางรายอาจจะขึ้นตำแหน่งเดียวแต่บางรายอาจจะเกิดหลายตำแหน่งพร้อมๆกัน บางรายแผลเก่ายังไม่ทันหายแผลใหม่ก็มาเกิดจะเจ็บมากเมื่อไปโดนถูก คนจีนแต้จิ๋ว เรียกว่า "แซชือ" แต่ถ้ามีการปูดเป็นก้อนที่ด้านข้างของเหงือกเรียก "ผู่คีเปา" หรือบางครั้งตุ่มเล็กจะไม่กลายเป็นแผลแต่จะปูดเป็นตุ่มใหญ่ขึ้นมาบริเวณใต้ริมฝีปากด้านใน

สาเหตุ จริงๆแล้วแผลร้อนในก็เกิดจากร้อนในโดยไม่ได้เกิดจากเชื้อใดๆ แต่จะเกิดกับผู้ที่มีภาวะหยินพร่องจะมีอาการร้อนในได้ง่ายเมื่อร่วมกับการนอนดึกหรืออดนอน จะทำให้ร้อนใน ในส่วนของกระเพาะจึงแสดงออกมาเป็นแผลร้อนในบางรายอาจจะมีอาการเจ็บคอและเป็นไข้ร่วมด้วย เพราะร้อนในในส่วนอื่นด้วย

ร้อนในมีหลากหลายอาการแล้วแต่ว่าจะเกิดกับอวัยวะส่วนไหน เช่น เส้นที่คอตึง ตกหมอน มีขี้ตา ตาแฉะ มีเสมหะ ไอ เจ็บคอ ต่อมทอลซินอักเสบปากเป็นแผลร้อนใน เหงือกบวม ลิ้นแตก ท้องผูก อุจจาระแข็งและดำ(โดยที่ไม่ได้มีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร)บาง ทีก็ร้อนในในหลายส่วนพร้อมกัน ทำให้ ครั่นเนื้อ ครั่นตัว เป็นไข้ รวมถึงเป็นต้นเหตุของอาการไข้หวัด เพราะเมื่อร้อนใน ภูมิต้านทานก็ลดลงอาการเหล่านี้แต่ละคนจะไว(Sensitive)ไม่เท่ากัน เนื่องจากดุลยธาตุ(หยิน-หยาง)ของแต่ละคนไม่เท่ากัน

เหตุที่อธิบายได้เช่นนี้ เพราะข้าพเจ้าเป็นคนที่ร้อนในบ่อยมาก และช่วงที่เป็นเด็กการร้อนในแต่ละครั้งจะมีอาการหนักมากโดยจะเริ่มเจ็บคอ ต่อมทอลซินอักเสบ และเป็นไข้ ปวดเมื่อยตัว เวียนศีรษะ มีแผลร้อนใน ด้วยความที่คุณพ่อมีความรู้เรื่องยาสมุนไพรจีนแต่เชื่อมั่นในการรักษาแบบปัจจุบัน เจ็บป่วยเมื่อไร ก็พาไปพบแพทย์ แต่กว่าจะหายต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์เมื่อไม่สบายหนักคุณพ่อจึงออกตำรับยาแล้วไปซื้อมาต้มให้ดื่มกิน ผ่านไปประมาณ 1 ชม. อาการก็เริ่มดีขึ้น เพียงแค่1-2วันก็หายเป็นปกติหรือรับประทานยาแก้ไข้ ตรา เอ สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ร้อนใน เป็นยาแผนโบราณชนิดตอกเม็ดบรรจุแผงอลูมิเนียมฟอยล์(Strip pack)เพื่อป้องกันความชื้นและบรรจุในกล่องกระดาษสีเขียว(ขึ้นทะเบียนยากับอย.แล้ว)เพราะยาแก้ไข้ ตรา เอ จะแก้อาการร้อนในได้ดี และมีการเสริมธาตุหยิน จึงทำให้แผลร้อนในหายได้เร็วภายใน1-2วันถ้าหากว่าเริ่มเป็นแผลร้อนใน เพียงรับประทานยา 1-2 มื้อ ก็ทำให้แผลนั้นหายไป

วิธีรักษาแผลร้อนใน
-เลี่ยงอาหารที่ทอดน้ำมัน หรือขนมบางอย่างเช่น คุ้กกี้ ขนมกรอบๆ ผลไม้เช่น ลำไย ทุเรียน เงาะ ขนุน
-นอนหลับให้เต็มที่ ดื่มน้ำให้มาก
ที่มา:เภสัชศาสตร์ มอ.

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

ประวัติของweb blog

Web blog คืออะไร

BlogGang คือ "Web log" หรือเรียกสั้นๆ ว่า "blog" ชื่อดังกล่าวเริ่มใช้เมื่อเดือนธันวาคม ปี 1997 โดยผู้ที่คิดชื่อนี้คือ Jorn Barger "weblog" (เว็บ Blog) หมายถึงเว็บไซต์ส่วนตัว ที่ผู้สร้างหรือที่เรียกว่า blogger จัดทำขึ้นเพื่อเป็นที่บอกเล่าเรื่องราว สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน รวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสนอบทความใหม่ๆ วิจารณ์ข่าวสารบ้านเมือง หรืออื่นๆ ที่ผู้ใช้เห็นว่าน่าสนใจ พร้อมกันนั้น ยังเปิดให้ผู้เยี่ยมชมได้สามารถแสดงความคิดเห็นต่อ topic ต่างๆ ที่ได้ตั้งขึ้นอีกด้วย

ประโยชน์ของ Web blog

Blog มีไว้เพื่อตอบสนองตัณหาของเจ้าของ blog ถึงแม้ว่า blog จะมีลักษณะหน้าตาคล้ายกัน แต่ blog แต่ละแห่งจะมีบุคลิกเฉพาะตัว แตกต่างกันไปเหมือนบุคลิก บาง blog แค่เล่าเรื่องชีวิตประจำวัน บาง blog เกาะติดข่าว บาง blog คุยเรื่องการเมืองหรือปรัชญา จงนั้นอาจแบ่งประโยชน์ได้หลายแบบด้วยกัน ซึ่งอาจจะแจกแจงได้ดังนี้

1.เปิดตัวเองให้โลกรู้ เรื่องของ blog มักเป็นเรื่องราวของเจ้าของ blog เป็นการเล่าประสบการณ์หรือความคิดของเจ้าของ เป็นการถ่ายทอดความคิดความรู้สึกของเจ้าของ blog เป็นการระบายความเคลียดอีกทางหนึ่ง

2.ทันข่าวทันเหตุการณ์ ประสบการณ์บางคนก็เป็นข่าวเห็นอีกหลายคนได้ ข่าวจาก blog หลายแห่งเป็นข่าววงใน บางคนเล่าเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุที่เจอมาหลาย blog พูดถึงแนวโน้มหรือความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ

3.กลั่นกรองข้อมูลblog บาง blog จะมีการกลั่นกรองข้อมูลก่อนนำลง blog ทำให้ผู้อ่าน blog ไม่ต้องเสียเวลาในการกลั่นกรองข้อมูล เพราะมีการนำเสนอข้อมูลหรือมีไกด์ในการท่องเว็บ

4.รายงานการท่องเว็บ เป็นวัตถุประสงค์หลักที่เป็นต้นกำเนิดของการทำ blog หลาย blog มีการลิงก์ไปยังเว็บที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาใน blog ซึ่งเป็นการแนะนำว่าเว็บไหนดีก็ไปที่เว็บนั้น

5. การแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นความในใจของเรื่องต่างๆ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ หรือการบ่นที่ทุกคนมีอยู่ในใจ การทำ blog เป็นช่องทางถ่ายทอดความคิดเห็นให้คนอื่นรับรู้

6. ถ่ายทอดประสบการณ์ หรือไดอะรี่ออนไลน์ เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตประจำวัน หรือเป็นการเล่าเรื่องการเดินทางท่องเที่ยว เช่น http://www.terrystrek.com/

7. โน้มน้าวใจผู้อ่าน ลักษณะนี้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ แต่กรณีแบบนี้เป็นการขายความคิด อย่าง blog สำหรับคอการเมืองอาจจะมีฝ่ายซ้าย - ฝ่ายขวา,สายเหยี่ยว ­- สายพิราบ จะพบว่าเนื้อหาจะเป็นการโพสต์โจมตีฝ่ายตรงข้าม แล้วก็สนับสนุนแนวความคิดของตนเอง

เทคนิคการเรียนเก่ง


ข้อที่ 1 : พกปากกาสี 12 สี ติดตัว

ทฤษฎีสี กล่าวไว้ ว่า สีจะสามารถเพิ่มการจดจำเนื้อหาต่าง ๆ ได้มากกว่า สีน้ำเงินที่เขียนตามปกติ จึงควรซื้อปากกาสีต่าง ๆ ติดตัวไว้ เวลาอ่านหนังสือก็ใช้ปากกาสีในการจดเนื้อหา ของ stabio ก็ดีนะ ทนหลายปีเลยแหล่ะ * สำหรับคนที่กลัวว่าจะจดไม่ทันก็ใช้วิธีจดเฉพาะเนื้อหาสำคัญพร้อมกับบันทึกเสียงไปพร้อม ๆ กัน แค่นี้ก้อสามารถจดจำได้แล้วล่ะ

ข้อที 2 : ใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้น

การใช้สมุดnote ที่มีลายเส้นนั้นเหมือนเราอยู่แต่ในกรอบเส้นนั้น แต่ถ้าใช้สมุดnote ที่ไม่มีเส้นนั้นจะ ทำให้เราไม่มีกรอบในการเขียน เราอยากเขียนอะไรก็อยากเขียนได้ทั้งนั้น ปัจจุบันหาซื้อยาก ต้องลองหาแถว ร้านขายสมุดวาดรูปดูน่ะ
ข้อที่ 3 : บันทึกงานออกมาในรูป Mind Map Or Pic.

ถ้าเราอ่านหนังสือการ์ตูนตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กับอ่านหนังสือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจะสามารถจดจำ การ์ตูนได้มากกว่า เวลาจดเนื้อหาบางอย่างอาจจะจดในรูปแบบ Pic. จะสามารถจดจำได้มากกว่า การบันทึกงานในรูปแบบของ mind Map จะเป็นการแบ่งเรื่องหัวข้อใหญ่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการอ่าน อาจใช้ mind map เป็นรูปก็ได้
ข้อที่ 4 : Mp3

เราควรจะมี mp3 เพื่อใช้ในการบันทักเสียงเวลาที่คุณครูสอนแต่ไม่สามารถฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาได้ครบทุกอย่าง หากเราอัดไว้ก็จะสามารถย้อนกลับไปฟังได้ หลาย ๆ ครั้ง ก่อนสอบ
ข้อที่ 5 : เอาใจครู

เอาใจครูในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเอาอกเอาใจครู หมายถึง ทำตัวตามสไตร์ที่คุณครูชอบ เพื่อเพิ่มความชอบของคุณครูในตนเอง เวลาเราชอบครูคนไหนก็อยากเรียนกับครูคนนั้น อยากส่งงาน ครู อยากเจอหน้าครู ก็จะทำให้เรียนเก่งยิ่งขึ้น เพราะ เราอยากเรียนวิชานั้น ๆ
ข้อที่ 6 : พูดคุยกับปากกา

ก่อนสอบ หรือก่อนเขียนงานเราควรพูดคุยกับปากกาบ้าง คุณหนูดี กับ ด็อกเตอร์ อะไรเนี่ยแหล่ะจำชื่อไม่ได้ ก็ใช้วิธีนี้จนเรียนจบปริญญา

ข้อที่ 7 : นั่งหน้าห้อง
นั่งหน้าห้องจะสามารถทำให้เราได้ยินมากกว่าคนที่นั่งข้างหลังเรา เห็นชัดกว่าคนข้างหลังเรา และสามารถถามครูได้มากกว่า ซึ่งมันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว เครดิต ; หนังสือของคุณหนูดี เราย่อออกมาเหลือแค่นี้แหล่ะ ส่วนหนังสือของคุณหนูดีเล่มใหม่ Speed Reading ไว้เราอ่านแล้วจะเอามาลงให้นะ

ที่มา www.dek-d.com

มารยาทในห้องเรียน




มารยาทในห้องเรียนซึ่งมีวิธีปฏิบัติง่ายๆและหลายๆคนก็พอจะรู้จักและปฏิบัติได้ดังนี้
1. ต้องตั้งใจเรียน เป็นการแย่มากๆหากว่าเราจับกลุ่มคุยแข่งกับอาจารย์ที่สอนอยู่หน้าชั้นเรียน หรือสนใจในการอ่านหนังสือการ์ตูนมากกว่าบทเรียนในชั่วโมงทุกคนลองคิดดูว่า อาจารย์ผู้สอนเพียงคนเดียวไม่สามารถตะเบ็งเสียงแข่งได้
2. ไม่รบกวนสมาธิของผู้อื่น ถึงแม้เราจะเบื่อในวิชานั้นๆก็ไม่ควรไปชวนเพื่อนคุยหรือรบกวนใดๆก็แล้วแต่ ถ้าเราไม่เข้าใจหรือสงสัยอะไรให้ยกมือถามอย่าไปถามเพื่อนขณะเรียนเพราะ เพื่อนอาจเรียนไม่รู้เรื่องเพราะเรา
3. เชื่อฟังคำตักเตือนของอาจารย์ บางครั้งที่เราทำผิดหรือเราอาจจะดื้อรั้นกับอาจารย์ที่สอนอยู่ อาจารย์อาจจะต่อว่า ตักเตือนหรือตีก็ไม่ควรทำอวดดีหรือโต้เถียงใดๆทั้งสิ้น
4. แสดงนำใจต่อเพื่อนๆ บางครั้งเพื่อนของเรามาเรียนไม่ทันหรือขาดเรียนไปเราควรอธิบายวิชาที่เราพอ จะสามารถอธิบายใหเพื่อนเราฟังได้ หรือเพื่อนขาดอุปกรณ์การเรียน ถ้าเรามีก็ควรจะแบ่งปัน เพราะในการเรียนเราต้องพึ่งพาอาศัยกันเมื่อทำกิจกรรมต่างๆอยู่แล้ว
5. มีความรับผิดชอบ นอกจากการเรียนในวิชาต่างๆแล้วยังต้องมีแบบฝึกหัดให้เราทดลองและเราจะต้องมี ความรับผิดชอบโดยการทำส่งให้ครบตามกำหนดเวลา เพื่อไม่ให้มีนิสัยที่ไม่

มารยาทในที่ทำงาน

หลากหลายมารยาทดีๆ ในที่ทำงาน
การรู้จักกาลเทศะ มีมารยาท และวางตัวดีในที่ทำงาน จะช่วยให้การงานราบรื่น ช่วยผ่อนความเครียด ที่อาจเกิดจาก คนรอบข้างได้ มันไม่ง่ายเลยใช่มั้ยคะ กับการทำงานกับคนมากมายทุกๆ วันโดยที่คนเหล่านั้น ไม่ใช่เพื่อน หรือคนที่รู้จัก คบหากันมาก่อน ดังนั้นการเรียนรู้มารยาท และการวางตัวในที่ทำงาน ก็จะช่วยให้การงานราบรื่นขึ้น ลองนำเคล็ดลับจาก Lisa ไปใช้ดูซีคะ

ควรทำตัวอย่างไรในการแนะนำตัว
คุณควรรอให้อนุญาติ ให้นั่งเสียก่อนแล้วจึงนั่งลง หากได้รับคำถามว่า ดื่มชา กาแฟมั้ยก็ควรตอบรับ เพื่อช่วยให้ บรรยากาศดีขึ้น ที่สำคัญคือ อย่าไปสาย ควรตรงต่อเวลา และให้เวลากับการแนะนำตัวเอง อย่างไม่จำกัดเวลา แม้ว่าคุณอาจพลาดกับ รถเที่ยวต่อไปก็ตาม เพราะหากคุณบอกว่า “ดิฉันต้องไปแล้วค่ะ” นั่นอาจหมายถึงว่า คุณต้องลาจากชั่วนิรันดร์

พนักงานใหม่ ควรวางตัวอย่างไร
หากคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีกับผู้ร่วมงาน ในที่ทำงานใหม่ ก็อย่าเพิ่งกังวล คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ตัวเองทันที แรกๆ คุณควรศึกษากฎระเบียบเสียก่อน และสังเกตุขนบธรรมเนียม และมารยาทในที่ทำงานใหม่ เพราะคุณ อาจทำงานได้ดีมาก แต่อาจทำผิดสังคมในที่ทำงานได้ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรเลี้ยงฉลองอะไรในวันแรก แต่ให้ผ่านช่วงทดลองงานไปก่อน

ทำอย่างไรดีกับเพื่อนร่วมงาน
คุณจัดการกับโต๊ะทำงานของตัวเองได้ แต่ไม่ควรยุ่งกับโต๊ะทำงานของคนอื่น และไม่ควรเอาของใช้ เช่น กระเป๋า หรือสิ่งของไปวางในพื้นที่ทำงาน แม้ว่าคุณอยากจะโชว์ให้เพื่อนร่วมงานเห็นก็ตาม นอกจากนี้ความเครียดจะ เกิดขึ้น ถ้าคุณเอาตัวไปเบียดใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงาน เพราะมนุษย์ส่วนมาก มักมีความรู้สึกปลอดภัย เมื่ออยู่ห่างกันหนึ่งช่วงแขน กฎในออฟฟิศอีกอย่างก็คือ เมื่อคุณจะไอ หรือจามก็ควรออกนอกห้อง

หลีกหนีเพื่อนร่วมงานจอมเมาท์อย่างไรดี
ขณะที่คุณกำลังคุยโทรศัพท์อยู่แล้ว เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเข้ามาป้วนเปี้ยนในห้องคุณ และคอยจับผิด ให้คุณถามว่า มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ หรือบอกว่า เดี๋ยวคุณจะตามไป หรือบอกไปว่าคุณกำลังสะสางงาน อย่างเร่งด่วนอยู่ หากคุณเห็นว่า ไม่เหมาะที่จะทำตัวสนิทสนมด้วย ก็ให้รักษาระยะห่างไว้

จำเป็นต้องไปสรวลเสเฮฮาหลังเลิกงานด้วยมั้ย
หากเพื่อนร่วมงานชวนคุณไปดื่ม หรือเข้าร้านอาหารหลังเลิกงาน แต่คุณไปไม่ได้ก็ควรกล่าวคำขอโทษ เช่น “ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่บังเอิญติดธุระ” และหากคุณไปด้วยก็ควรอยู่ด้วยอย่างน้อยที่สุด 15 นาที

ทำอย่างไรดีเมื่อถูกจับได้ว่านินทาคนอื่น
คุณกำลังนินทาเรื่องไม่ดี ของผู้ร่วมงานคน หนึ่งอยู่ โดยที่เธอยืนอยู่ข้างหลังคุณ ดังนั้นคุณจึงควรกล่าวคำขอโทษ และบอกว่า คุณไม่ได้หมายถึงอย่างที่พูดไป เมื่อสักครู่นี้ และแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของคุณ ด้วยการช่วยเหลือเธอ เปิดเผย และซื่อสัตย์

เจอเพื่อนร่วมงานกลางทาง
ให้คุณเดินไปหาและทักทาย หากคุณไม่แน่ใจว่าเพื่อนร่วมงาน อยากจะทักคุณหรือไม่ ก็ให้คุณพยายามสบตาด้วย หากเธอมองไปทางอื่น ก็แสดงว่าเธอไม่อยากทักทายคุณ แต่ถ้าคุณอยู่ใกล้ประตูรถไฟฟ้า หรือรถเมล์ก็ให้หยุดรอตอนขาลง และทักทายเธอ คุณก็จะได้เพื่อนร่วมทาง หรือหากคุณไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย ก็ต้องขึ้นรถเช้ากว่านี้ เพื่อไม่ต้องเจอกันในลิฟต์ บางคนกลัวการอยู่ในที่แคบ เช่น ในลิฟต์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กลัวการอยู่ในที่แคบ และเจอผู้ร่วมงานในลิฟต์ก็ ควรทักทาย แล้วจะหันหน้าไปทางประตูลิฟต์ก็ไม่มีใครว่า และควรถามคนอื่นด้วยว่าอยู่ชั้นไหนแล้วกดลิฟต์ให้ด้วย

ไม่ควรนำโทรศัพท์มือถือเข้าที่ประชุม
เพราะมันมักรบกวนห้องประชุม หากคุณจำเป็นต้องรอโทรศัพท์สำคัญก็ให้บอกกับทางโน้นว่าในช่วงเวลานี้ คุณติดประชุม ไม่อาจรับโทรศัพท์ได้ หรือระหว่างพักการประชุม ก็โทรศัพท์ไปหาได้ หากคุณตั้งสัญญาณสั่นสะเทือนไว้ ก็ให้ออกไป พูดนอกห้องประชุม

การโต้ตอบอีเมล
ควรตรวจเช็ก และตอบอีเมลวันละอย่างน้อยที่สุด 2 รอบ ตอนเช้า กลางวัน และที่ดีที่สุดคือ ตอนเย็น หากคุณ ไม่สามารถตอบได้ทันที ก็ให้ส่งข้อความสั้นๆ ว่าคุณไม่อยู่ 2-3 วัน และบอกด้วยว่า คุณจะอยู่ในออฟฟิศ อีกครั้งเมื่อไหร่ นอกจากนี้ ก็ควรเขียนอีเมล อย่างระมัดระว้ง ถูกต้อง และไม่มีข้อผิดพลาด และบันทึกไว้อย่างมีระเบียบ เพื่อที่คุณจะได้หาได้ง่าย เมื่อต้องการค้นหา ไม่ควรใช้คำย่อ มีคำขึ้นต้น และลงท้ายอย่างมีมารยาท

หลากหลายมารยาทดีๆ ในที่ทำงาน